Skip to Main Content
I'm looking for
hidden1hidden2

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงตลอดชีวิตถึง 25% ที่จะเป็นแผลที่เท้า  แผลเบาหวานที่เท้าที่มีการติดเชื้อหรือขาดเลือดเกิดขึ้นประมาณ 25% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดที่เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล  แผลเบาหวานที่เท้าเป็นสาเหตุเกือบสองในสามของจำนวนการตัดขาหรือเท้าทั้งหมดที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บ ที่ดำเนินการในยุโรปและสหรัฐอเมริกา   

ข้อค้นพบเหล่านี้แสดงให้เห็นความสำคัญของการจัดการแผลเบาหวานที่เท้าอย่างเหมาะสม รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

การศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุของโรค

แผลเบาหวานที่เท้าเกิดจากหลอดเลือดแดงมีการตีบแบบเรื้อรังของหลอดเลือดแดงฝอยเล็ก ๆ ที่ส่งออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ ร่วมกับภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเนื่องจากเบาหวานซึ่งทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือด และภาวะหลอดเลือดดำมีความดันสูงซึ่งทำให้เนื้อเยื่อบวมน้ำหรือทำให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะที่ทำให้เป็นแผลที่เท้า ซึ่งได้แก่ การสูญเสียความรู้สึกเนื่องจากอาการเส้นประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน ความเสียหายหรือแผลที่ผิวหนังที่เกิดขึ้นก่อนหน้า การผิดรูปของเท้า หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดความดัน การบาดเจ็บภายนอก การติดเชื้อ และภาวะขาดเลือดแบบเรื้อรังเนื่องจากโรคของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย 

ทางคลินิกและทางเศรษฐศาสตร์

ในปี 2014 ผู้ใหญ่ประมาณ 422 ล้านคนทั่วโลกมีชีวิตอยู่กับโรคเบาหวาน เทียบกับ 108 ล้านคนเมื่อปี 1980  อัตราความชุกทั่วโลก (จากฐานของอายุ) ของโรคเบาหวาน มีค่าเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่านับตั้งแต่ปี 1980 โดยเพิ่มขึ้นจาก 4.7% เป็น 8.5% ในประชากรผู้ใหญ่ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นที่สัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เนื่องมาจากโรคอ้วน  

โดยทั่วไปแล้ว อัตราการตัดขาหรือเท้าเนื่องจากแผลเบาหวานจะมากกว่าอัตราการตัดขาหรือเท้าในประชากรที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน 10 ถึง 20 เท่า   เมื่อปี 2010 ในสหรัฐอเมริกา มีการตัดขาหรือเท้าที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการบาดเจ็บ 73,000 ครั้ง ในผู้ใหญ่อายุ 20 ปีหรือแก่กว่าที่เป็นโรคเบาหวาน โดย 60% เกิดขึ้นในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน 

ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลการขอรับสิทธิ Medicare แสดงให้เห็นว่า ระหว่างปี 2006 ถึง 2008 ผู้ป่วยที่เป็นแผลเบาหวานที่เท้าไปพบผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่แผนกผู้ป่วยนอก 14 ครั้งต่อปี และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 1.5 ครั้งต่อปี ข้อมูลการขอรับสิทธิในสหรัฐอเมริกายังแสดงให้เห็นว่าค่าดูแลผู้ขอรับสิทธิแต่ละคนที่เป็นแผลเบาหวานที่เท้า คิดเป็น 33,000 ดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ สำหรับบริการ Medicare ทั้งหมดต่อปี  ผู้ป่วยที่ได้รับการตัดขาหรือเท้าได้ไปพบผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่แผนกผู้ป่วยนอกประมาณ 12 ครั้งต่อปี และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประมาณสองครั้งต่อปี โดยมีค่าดูแลทั้งสิ้น 52,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี   
 

ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

การศึกษาวิจัยโดยการประเมินจากแบบสำรวจมาตรฐานแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลที่เท้าที่หายดีแล้ว มีคุณภาพชีวิตในด้านสุขภาพ (Health-Related Quality of Life หรือ HRQoL) สูงขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่มีแผลเบาหวานเรื้อรังที่เท้าที่ไม่หาย   ดังนั้นผู้ให้การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นแผลเรื้อรังที่เท้าที่ไม่หาย จึงมีภาระอย่างใหญ่หลวงในด้านอารมณ์  

การจัดการ

ความสำเร็จในการรักษาและการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีแผลเบาหวานที่เท้า เกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติแบบองค์รวม ซึ่งได้แก่ สุขภาพทางกาย ทางใจ และทางสังคมของผู้ป่วย รวมทั้งสภาพของแผล  

การจัดการแผลเบาหวานที่เท้าจะเริ่มต้นด้วยการประเมิน การแบ่งเกรด และการจัดประเภทของแผล โดยใช้การประเมินขนาดและความลึกของแผลในทางคลินิก รวมทั้งการดูว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกำหนดลักษณะและความเข้มข้นของการรักษา     ระดับการขาดเลือดในผู้ป่วยที่มีแผลเบาหวานที่เท้าจะประเมินโดยใช้ดัชนีความดันเลือดเทียบดัชนีภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Ankle-Brachial Index หรือ ABI) และการตรวจวัดความดันที่นิ้วเท้า   ในการทดสอบภาวะปลายประสาทอักเสบ จะใช้การทดสอบสองแบบที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ คือ:

  • 10 g Monofilament สำหรับการทดสอบภาวะเส้นประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ซึ่งควรใช้ในบริเวณต่าง ๆ ของฝ่าเท้า
  • ส้อมเสียง (Tuning fork) ที่ความความถี่ มาตรฐาน 128Hz สำหรับใช้ทดสอบความสามารถในการรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน นอกจากนี้เครื่อง Biothesiometer ยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประเมินการรับรู้แรงสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน  

สิ่งสำคัญสำหรับในผู้ป่วยที่มีภาวะปลายประสาทอักเสบคือการถ่ายน้ำหนักออกจากบริเวณที่เสี่ยงของเท้า เพื่อที่จะกระจายแรงกดได้อย่างเท่า ๆ กัน   การถ่ายน้ำหนักที่ไม่เพียงพอจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อและทำให้เกิดแผลเปื่อย

ควรจัดประเภทของแผลเบาหวานที่เท้าโดยใช้เครื่องมือทางคลินิกที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว เพื่อให้แน่ใจได้ถึงการประเมินแบบองค์รวมและการรักษาแผลเบาหวานที่เท้า ระบบของมหาวิทยาลัยเท็กซัส (UT) เป็นการจัดประเภทแผลเบาหวานที่เท้าระบบแรกที่ได้รับการตรวจสอบ โดยประกอบด้วยแผลสามเกรดและมีสี่ระยะ  

สมาพันธ์การจัดการบาดแผลแห่งยุโรป (European Wound Management Association หรือ EWMA) ระบุว่า ในการดูแลแผลเบาหวานที่เท้าควรเน้นการกำจัดเนื้อตายที่แผล (Debridement) ออกทั้งหมดและอย่างซ้ำ ๆ การควบคุมแบคทีเรีย และการตรวจดูบ่อย ๆ รวมทั้งการรักษาสมดุลความชื้นอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันผิวหนังเปื่อยยุ่ย   ต้องตรวจดูสภาพหลอดเลือดของผู้ป่วยก่อนการกำจัดเนื้อตายด้วยของมีคมเสมอ  ไม่ควรกำจัดเนื้อตายด้วยของมีคมเป็นบริเวณกว้างในผู้ป่วยที่ต้องได้รับการเปิดหลอดเลือดที่อุดตัน เนื่องจากเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อที่มีหลอดเลือดที่เสียหาย 

อาจดูมีเหตุผลที่การควบคุมกลูโคสอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริมการหายของแผลเบาหวานที่เท้า แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการที่สนับสนุนสมมติฐานนี้   อาจอธิบายข้อค้นพบนี้ได้ว่า การแข็งตัวของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กเนื่องจากโรคเบาหวานเป็นภาวะที่ไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ และเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งจึงไม่ตอบสนองต่อระดับปกติของกลูโคสในเลือด   

ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

แผลเบาหวานเรื้อรังที่เท้าที่ไม่หายจะติดเชื้อได้ง่าย โดยอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ซึ่งได้แก่ โรคกระดูกอักเสบติดเชื้อ (osteomyelitis) และภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (septicaemia)     

เมื่อวินิจฉัยพบการติดเชื้อที่แผล จะทำการรักษาตามระยะทางคลินิกของการติดเชื้อ และโดยทั่วไปแล้วจะใช้การถ่ายภาพเอกซเรย์เพื่อตัดโรคกระดูกอักเสบติดเชื้อออกหรือเพื่อยันยันโรคดังกล่าว    จุลชีพที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุดได้แก่ แบคทีเรียแกรมบวกรูปร่างกลมที่ต้องการออกซิเจน แบคทีเรียแกรมบวกรูปร่างแท่งที่ต้องการออกซิเจน และสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องการออกซิเจนที่อยู่ในแผลลึก     

ตามแนวทางของสมาคมโรคติดเชื้อของอเมริกา (Infectious Disease Society of America หรือ IDSA) จะถือว่ามีการติดเชื้อหากมีหนองไหลออกมา และ/หรือมีสัญญาณที่แสดงการอักเสบสองอย่างขึ้นไป (อาการผื่นแดง ปวด กดแล้วเจ็บ มีความอุ่น หรือมีการแข็งตัวของเนื้อเยื่อ)    การจัดการและการรักษาการติดเชื้อสำหรับแผลเบาหวานที่เท้าควรใช้ทีมผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ ศัลยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ แพทย์เฉพาะทางโรคเบาหวาน นักจุลชีววิทยา และพยาบาล  

บทบาทของวัสดุทำแผลในการจัดการแผลเบาหวานที่เท้า

หลังจากการกำจัดเนื้อตายที่แผล ควรรักษาความสะอาดและความชุ่มชื้นที่แผลเบาหวานที่เท้า แต่ต้องไม่ให้มีของเหลวส่วนเกิน โดยเลือกใช้วัสดุทำแผลตามลักษณะเฉพาะของแผล เช่น ลักษณะสารคัดหลั่งจากแผล หรือลักาณะเนื้อตาย   วัสดุทำแผลบางชนิดยังใส่สารฆ่าเชื้อไว้เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น  

การใช้วัสดุทำแผลที่ทำให้มีการหายของแผลแบบชุ่มชื้นในปริมาณที่สมดุล ทำให้เกิดกระบวนการตามธรรมชาติที่จะช่วยให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วนิ่มลงและช่วยกำจัดเนื้อเยื่อดังกล่าว กระบวนการนี้เรียกว่า การกำจัดเนื้อตายด้วยกระบวนการของแผลเอง (Autolytic debridement) ต้องระมัดระวังไม่ใช้วัสดุทำแผลที่ให้ความชื้น เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังเปื่อยยุ่ยได้ นอกจากนี้ ไม่แนะนำให้ใช้วัสดุทำแผลที่เก็บความชื้นได้หากมีภาวะขาดเลือดเฉพาะที่ (Ischaemia ) และ/หรือเนื้อตายเน่า (Gangrene)    

สิ่งสำคัญคือการผนวกใช้กลยุทธ์ป้องกันการบาดเจ็บ และการลดอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับแผลให้มีน้อยที่สุดในระหว่างการเปลี่ยนวัสดุทำแผล   ซึ่งอาจรวมถึงการใช้วัสดุทำแผลชนิดซิลิโคนนิ่ม และการหลีกเลี่ยงการรบกวนแผลอย่างไม่จำเป็น    ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าผู้ป่วยหลายคนรวมถึงผู้ป่วยที่เส้นประสาทถูกทำลายหรือขาดเลือด สามารถรู้สึกปวดเนื่องจากแผลหรือขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งได้

การรักษาแผลเบาหวานที่เท้าด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ

วิธีการรักษาเสริมอาจช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นได้ เช่น การรักษาแผลโดยใช้ความดันลบ (Negative Pressure Wound Therapy หรือ NPWT) การใช้วัสดุทำแผลจาก Polymer Membrane เลือกผ่านที่ได้รับการปรับให้ตรงตามความต้องการ การใช้ Dermal Grafts ของมนุษย์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยง และการใช้ Growth Factors 

แผลทุกชนิดที่ได้รับแรงกดและความเครียดเป็นเวลานานหรือบ่อย ๆ ซึ่งรวมถึงแผลที่ส้นเท้าที่เกี่ยวข้องกับแรงกด หรือแผลที่กลางเท้าและที่ด้านข้างของเท้า หรือแรงกดปานกลางซ้ำ ๆ (แผลที่ฝ่าเท้า) จะได้ประโยชน์จากการลดแรงกด ซึ่งสามารถทำได้โดยการลงของน้ำหนัก อุปกรณ์ช่วยกระจายน้ำหนักได้แก่ เฝือกแบบสัมผัสทุกส่วน รองเท้าเฝือก การดัดแปลงรองเท้า และอุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนไหวอื่น ๆ 

การให้ความรู้ผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลด้วยตนเอง

ผู้ป่วย ผู้ดูแล และบุคลากรทางการแพทย์ ควรใช้วิธีการดูแลเท้าที่มีประสิทธิผล การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลเท้าอย่างเหมาะสม และการตรวจเท้าเป็นระยะ ๆ เป็นมาตรการป้องกันการเกิดแผลที่ได้ผล 

'References'

Mölnlycke Close

Healthcare Professional Confirmation

The information on the page you are about to enter is intended for healthcare professionals only. By clicking the box below you confirm that you are a healthcare professional.